วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตั้ง Password ง่ายเกินไปส่งผลกระทบอย่างไรกับเราบ้าง



ปัญหาที่น่าปวดหัว!!! ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคือเรื่อง “พาสเวิร์ด”  ซึ่งเวลาล็อกอินมักจะลืมพาสเวิร์ดทุกที แล้วก็ใช้วิธีการตั้งพาสเวิร์ดง่ายๆแบบที่ใครๆ ก็สามารถเดาได้ แถมยังใช้ทุก account อีกด้วย แบบนี้มันก็สามารถถูกแฮคได้ง่ายๆ เช่นกัน มายด์เทอร่า ผู้ให้บริการระบบไอทีซีเคียวริตี้แบบครบวงจร เตือนภัยเหล่าไซเบอร์ทั้งหลายถึงวิธีการตั้งรหัสแบบง่ายๆ นั้นส่งผลกระทบอย่างไรกับเราบ้าง เริ่มจาก

1. เสียชื่อเสียง รหัสผ่านที่ง่ายเกินไปก็ถูกเจาะได้ง่ายๆและเมื่อคนร้ายได้ข้อมูลส่วนตัวไป แล้วสิ่งที่จะตามมาคือการเอาข้อมูลของเราไปใช้ต่อ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ได้ใช้ในทางที่ดีแน่ๆ ดังเช่นกรณีที่เคยตกเป็นข่าวมาแล้ว คือ คนร้ายแฮคเฟสบุ๊คผู้อำนวนการโรงเรียนแห่งหนึ่งแล้วขอยืมเงินจากเพื่อนของ ผอ. ซึ่งมีคนหลงเชื่อไปหลายคน เป็นต้น

2. เสียทรัพย์ ข้อมูลที่คนร้ายได้ไปสามารถเชื่อมโยงไปถึงกันได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ใช้พาสเวิร์ดเดียวกันทั้งหมดสำหรับทุก account ไม่ว่าจะเป็นอีเมล์ อินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้ง และโซเชียลเน็ตเวิร์ค ทีนี้ก็ไม่ยากที่คนร้ายจะขโมยเงินไปจากกระเป๋าของเรา เช่น เขาอาจจะเอาข้อมูลที่ได้มานั้นไปทำบัตรเครดิต หลอกให้โอนเงิน หรือวิธีการต่างๆโดยใช้การยืนยันตัวตนภายใต้ชื่อของเรา

3. ผลกระทบต่อองค์กร ข้อมูลขององค์กรก็เป็นอีกหนึ่งความลับที่เราต้องเก็บรักษาอย่างดี เพราะหากมันหลุดไปอยู่ในมือของคนนอกย่อมส่งผลกระทบมากมายต่อองค์กรเป็นแน่ พาสเวิร์ดก็เป็นเหมือนประตูด่านแรกที่จะช่วยป้องกันการบุกรุกของคนร้าย ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างประตูนี้ให้แข็งแรงที่สุด

เคล็ด(ไม่)ลับอยากบอกต่อ : ถ้าให้ตั้งพาสเวิร์ดยากๆ แตกต่างกันทุก account แล้วกลัวลืม เดี๋ยวนี้มีพวก Password Management อย่าง 1Password, LastPass, Sticky Password หรืออื่นๆ ในการช่วยจำที่มีทั้งฟรีและเสียตังค์ วิธีนี้ถึงจะไม่การันตีว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เยอะทีเดียว

รหัสผ่านของคุณคาดเดาง่ายแค่ไหน?



แฮกเกอร์ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการเจาะรหัสผ่านของคุณ!!

มายเทอร่า จะมากระซิบบอกว่า แฮกเกอร์นั้นสามารถใช้เวลาเท่าไร ในการได้รหัสผ่านของเรา จากการเดาสุ่มด้วยโปรแกรม

โดยเทคนิคการโจมตีเพื่อที่จะเอารหัสผ่านที่เรียก การแคร๊กพาสเวริด์ (Password Cracking) นั้นมีหลายวิธี ซึ่งวิธีการเดาสุ่มด้วยโปรแกรมแคร๊กนั้นจะค่อยๆ ถอดรหัส ส่วนระยะเวลาที่ใช้นั้นจะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน เช่น
1.    รูปแแบบการตั้งรหัสผ่านว่ามีความซับซ้อนหรือไม่ (มีตัวเลข, ตัวเล็กตัวใหญ่ หรือ อักขระพิเศษ)
2.    จำนวนความยาวของรหัสผ่าน
3.    ความสามารถของโปรแกรมถอดรหัสและความเร็วของคอมพิวเตอร์

โดยมีการคำนวนกันไว้ว่าถ้าความเร็วในการถอดรหัสผ่านของโปรแกรมอยู่ที่ 1,000,000 รหัสต่อวินาที โดยถ้ารหัสผ่านมีความยาว 6 ตัวอักษรและประกอบไปด้วยอักษรตัวเล็กหมด อาจใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที แต่ถ้ารหัสผ่านมีความยาว 8 ตัวอักษรขึ้นไปและมีตัวเลข, อัขระพิเศษนั้นอาจใช้เวลาถึง 229 ปีเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่าการตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัยนั้นช่วยให้ account มีความปลอดภัยได้มากเลยทีเดียว โดยท่านสามารถเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยและแข็งแรงของรหัสผ่านของท่านเองได้ ที่ https://howsecureismypassword.net/ แต่อย่างไรก็ตามถึงจะมีรหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูงแล้ว ก็ควรจะเปลี่ยนรหัสผ่านใน account และ อย่าใช้รหัสอันเดียวกันทุก account ด้วย

เทคนิคการตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย



ใครมี password เดียว ใช้ทุก account ยกมือขึ้น!!!

ณ ปัจจุบัน การตั้ง “รหัสผ่าน” เพื่อเข้าสู่การใช้งานของระบบนั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบ แต่รู้หรือไม่นั้นว่า “รหัสผ่าน” ที่เราๆ ใช้กันอยู่นั้น มีความปลอดภัยมากน้อยขนาดไหน ดังนั้น เราจะมาแนะนำเทคนิคการตั้งรหัสผ่านของเราให้มีความปลอดภัยเป็นอย่างดี

เริ่มแรก ต้องขอพูดถึงการตั้งรหัสผ่านในการใช้งานระบบต่างๆ ของคนทั่วไปในปัจจุบันก่อน ส่วนใหญ่จะนิยมตั้ง รหัสผ่านกันแบบ ง่ายๆ เช่น 123456 , test , 111111111 และสารพัดคำเดาง่ายทั้งหลาย แถมแต่ละรหัสผ่านใช้หมดทุกอันตั้งแต่ อีเมลล์, รหัสเข้าวินส์โดว์, เฟสบุ๊ค อาจรวมไปถึงการเข้าสู่ระบบของที่ทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้มีความเสี่ยงต่อการถูกเดารหัสผ่านได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น จึงมีวิธีการที่ใช้ในการตั้งรหัสผ่านที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง โดยวิธีการนี้เป็นการแนะนำจาก วิศวกรรมมหาวิทยาลัย Stanford University ตั้งนโยบายการตั้งรหัสผ่านนี้ได้คำนึงถึงทั้งความปลอดภัยของตัวรหัสผ่านเอง และความง่ายในการจดจำสำหรับผู้ใช้งาน โดยยังคงทนทานต่อการถูกโจมตีเดารหัสผ่านได้เป็นอย่างดี

โดยในพื้นฐานของการออกแบบนโยบายในการตั้ง Password ครั้งนี้คือ ให้ความซับซ้อนของรหัสผ่าน แปรผกผันกับความยาวของรหัสผ่าน โดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วงความยาวด้วยกัน ดังนี้

รหัสผ่านยาว 8-11 ตัวอักษร – ต้องประกอบด้วยตัวอักษรตัวเล็ก, ตัวอักษรตัวใหญ่, ตัวเลข และสัญลักษณ์เป็นอย่างน้อย
รหัสผ่านยาว 12-15 ตัวอักษร – ต้องประกอบด้วยตัวอักษรตัวเล็ก, ตัวอักษรตัวใหญ่ และตัวเลขเป็นอย่างน้อย
รหัสผ่านยาว 16-19 ตัวอักษร – ต้องประกอบด้วยตัวอักษรตัวเล็ก และตัวอักษรตัวใหญ่เป็นอย่างน้อย
รหัสผ่านยาวมากกว่า 20 ตัวอักษร – ต้องประกอบด้วยตัวอักษรตัวเล็กเป็นอย่างน้อย

โดยทางทีมงานวิศวกรเครือข่ายจากมหาวิทยาลัย Stanford University ได้แนะนำให้ตั้งรหัสผ่านตั้งแต่ 16 ตัวขึ้นไป เนื่องจากรหัสผ่านจะได้ประกอบด้วยตัวอักษรเล็กใหญ่เท่านั้น ทำให้ง่ายต่อการเข้าใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่คีย์บอร์ดหลักจะประกอบด้วยตัวอักษรเท่านั้น นอกจากนี้เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำแล้ว “แนะนำให้ใช้คำ 4 คำแบบสุ่มมาเชื่อมต่อกัน โดยมี สเปซ คั่นทุกๆ คำ” จะทำให้รหัสผ่านมีความยาวเพิ่มขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้น และยังจำง่ายขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ใครจะนำข้อเสนอแนะนี้ไปแนะนำเพื่อนๆ ที่ออฟฟิส หรือ ญาติมิตร ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะง่ายต่อการนำไปใช้ และยังคงมีความปลอดภัยระดับหนึ่งอีกด้วย

สุดท้ายนี้ ถึงแม้เราจะทำการตั้ง รหัสผ่าน ให้มีความปลอดภัยแค่ไหน ก็ควรที่จะทำการเปลี่ยนรหัสผ่านทุกๆ 1 – 3 เดือน เพราะว่าใครจะไปรู้เกิดมี Hacker ได้ทำการรันโปรแกรมเดารหัสผ่านมั่วๆไปเรื่อยแล้วมันมาโป๊ะเช๊ะ กับรหัสผ่านของเรา หรือ อาจจะมีคนที่ใกล้ชิดแอบรู้ถึงรหัสผ่านของเราก็เป็นได้

ที่มาของ @ ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอีเมล์



เรย์ ทอมลินสัน วิศวกรคอมพิวเตอร์ ได้รับการบันทึกว่า เป็นบุคคลแรกที่นำ @ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่ออีเมล์ ในปี 1971 เพียงเพราะเขาต้องการหาสัญลักษณ์บางอย่างบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่ใจว่าจะไม่มีปรากฏในชื่อของใครคนใดคนหนึ่ง
        โดยหลังจากนั้นมา การใช้ @ (arroba)ในชื่ออีเมล์เพื่อบอกสังกัดอีเมล์ของผู้ใช้ก็กลายเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
        หากจะถามถึงที่มาของ @ ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอีเมล์นั้น ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า ใครเป็นคนแรกที่นำมาใช้ เนื่องจากมีหลากหลายทฤษฎีอธิบายเอาไว้แตกต่างกันออกไป
        ทฤษฎีแรกนั้นสันนิษฐานว่า @ ปรากฏให้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในยุคกลางของยุโรป ซึ่งในสมัยนั้นคนยุโรปจะชอบเขียนตัวหนังสือแบบลากหางของตัวอักษรขึ้นหรือลง ยาวๆ ซึ่งตัว @ มาจาก a นั่นเอง


        ขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไประบุว่า @ มาจากคำว่า 'ad' ซึ่งเป็นคำบุพบทในภาษาลาติน หมายถึง "ที่" ในทำนองเดียวกัน ก็มีอีกแนวคิดที่คล้ายๆ กันอธิบายว่า @ เป็นตัวย่อของ 'ana' (ava) คำบุพบทในภาษากรีก ซึ่งมีหมายความว่า ในอัตรา (ตามด้วยคำบอกจำนวน) โดยมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในเชิงการพาณิชย์
        จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ของ จิออร์จิโอ สตาบิล ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากโรม มีการเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับที่มาของ @ โดยเขาอ้างว่า สัญลักษณ์ดังกล่าว เคยมีร่องรอยปรากฏให้เห็นตั้งแต่สมัยเรอเนสซองซ์ของอิตาลี ในเอกสารการค้าแห่งเวนิส ซึ่งลงนามโดย ฟรานเซสโก ลาปี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 1536 เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขายไวน์ โดย @ ที่ปรากฏในเอกสารนี้มีความหมายว่า โถ หรือ เหยือก ซึ่งใช้เป็นภาชนะบรรจุไวน์ในสมัยนั้น อาทิเช่น @ of wine หมายถึง ไวน์ 1 เหยือก เป็นต้น
        สัญลักษณ์ @ ที่ พบว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในตะวันตก มีที่มาจาก à ซึ่งเป็นบุพบทในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง "ที่" ทว่าเมื่อนำมาใช้ในเชิงการค้าจะหมายถึง "ราคาชิ้นละ" ตัวอย่างเช่น 2 books@ 10 F. หมายถึง หนังสือ 2 เล่ม ราคาเล่มละ 10 บาท เป็นต้น
        ทั้งนี้ ถึงแม้จะมีหลากหลายทฤษฎีที่อธิบายที่มาที่ไปของการใช้ @ มาตั้งแต่อดีตแล้ว แต่การใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเพิ่งจะได้รับความนิยมสุดๆ ในแวดวงคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันนี่เอง



Card reader บน Windows 7 หายไปไหน

โดยปกติ Windows 7 จะไม่แสดงไดรฟ์ว่างเปล่าเช่น Card reader ในหน้าต่าง explorer เท่า ที่ผมทราบ คิดว่าการที่ windows 7 เปลี่ยนไปเนื่องมาจากไดร์ที่ว่าง นั้นอาจจะดูรกเกินไปสำหรับผู้ใช้งาน แต่ผู้ใช้ที่ไม่ทราบอาจจะงง ว่า แล้ว Card reader ที่เราเสียบไว้มันหายไปไหนละ และอยากนำมันกลับมา เหมือนเดิมดังเช่น รุ่นพี่ของมันอย่าง XP ตามมาเลยคับ

มีวิธีการดังนี้
คลิกที่ Start และในช่องค้นหา (อยู่เหนือปุ่ม Start) พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาว่า"Change Search options" ในผลลัพธ์ที่จะปรากฏตัวเลือกด้านบนดังแสดงในรูปว่า"
Change Search options for files and folders" คลิกที่มันได้เลยคับ



ตอน นี้จะอยู่ที่หน้าตัวเลือกแล้วให้ เลือกแท็บ View และเลื่อนลงไปจนเห็นตัวเลือกว่า"Hide empty drives in the computer folder" เอาตัวเลือกออก จากนั้นกด Apply แล้ว OK ตามรูปด้านล่างได้เลย


ที่นี้ไดร์ว่างที่เราเสียบไว้ก็จะโชวขึ้นมาแล้วคับ เป็นทิปเล็ก ๆ ที่ทำให้เราคุ้นเคยกับ window7 มากขึ้นอย่างมาก

5 วิธีง่ายๆที่จะช่วยลดและประหยัดพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ใน Windows 7

5 วิธีง่ายๆที่จะช่วยลดและประหยัดพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ใน Windows 7






1.ใช้ เครื่องมือ Disk Cleanup
Disk Cleanup  เป็นเครื่องมือที่ติดมากับ Windows 7 ที่จะช่วยลบไฟล์ข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์หรือไฟล์ขยะ(temporary files) เช่น ไฟล์ที่เกิดจากการใช้งาน Internet Explorer หรือไฟล์ที่ค้างอยู่ในถังขยะ
วิธีใช้งาน Disk Cleanup
- เข้า Windows Explorer หรือ (my)Computer คลิกขวาในไดรว์ที่ต้องการใช้ Disk Cleanup แล้วเลือก Properties
- คลิกที่ Disk Cleanup จะเจอกับเครื่องมือสำหรับเลือกลบไฟล์ขยะต่างๆ เลือกลบไฟล์ตามหัวข้อของโปรแกรม





2.ถอนโปรแกรมที่ไม่ค่อยได้ ใช้งานออกไปบ้าง
เราสามารถถอนโปรแกรมต่างๆที่ติดตั้งเข้าไปใน Windows 7 โดยใช้เครื่องมือ Uninstall a program โดยเข้าไปที่ Control Panel และคลิกที่ Uninstall a program.







3.ปิดการ ทำงานโปรแกรมเสริมที่มากับ Windows ที่ไม่ค่อยได้ใช้
ใน Windows 7 จะมีโปรแกรมเสริมต่างๆมากมายที่แถมมาให้พร้อมกับตัว Windows โดยการ เข้าไปที่ Control Panel. คลิกที่ Programs. คลิก Enable or disable Windows features เอาเครื่องหมายถูกตรงหน้าโปรแกรมเสริมที่ไม่ต้องการใช้งานออก เพื่อปิดการทำงานของโปรแกรมนั้นๆ จะสามารถช่วยประหยัดพื้นที่ได้นิดหน่อย







4.ปิด ระบบ System Restore
System Restore คือตัวที่จะช่วยคืนค่าการทำงานต่างๆของวินโดว์ ให้กลับไปยังวันที่ต้องการได้ โดนคุณสมบัตินี้จะใช้พื้นที่ในการสำรองข้อมูลมากพอสมควร เราสามารถปิดการทำงานในส่วนนี้ได้ โดย
- คลิกขวาที่ My Computer และเลือก Properties
- คลิกที่แท็บ System Protection
- เลือกไดรว์ที่ต้องการปิด System Restore แล้วกด Configure
- คลิกที่ Turn off system protection.
- กด OK  เป็นอันเสร็จ




5.ปิด การทำงาน Hibernate
Hibernate เป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการปิดเครื่องแบบด่วน คือกดปุ๊บแล้วเครื่องจะปิดทันที โดยการโอนถ่ายข้อมูลจาก RAM ขณะนั้นมาใส่ใน HDD เวลาเราเปิดเครื่องครั้งต่อไป วินโดว์ก็จะกลับมาทำงานก่อนที่จะกด Hibernate
วิธีปิดการทำงาน Hibernate
- ไปที่ run พิมพ์ cmd แล้ว กด ok
- พิมพ์คำสั่ง powercfg /hibernate off แล้วกด enter
เพียงง่ายๆเท่านีเราก็สามารถประเนื้อที่ ฮาร์ดดิสก์ ได้แล้ว









ปิดโหมด Auto Sleep ใน Win7

วิธีการปิด Sleep mode อัตโนมัติ

บางเวลาเราโหลดอยู่ อยู่ๆ เครื่องก็ Sleep ไปซะงันเป็นปัญหาที่รบกวนคนชอบโหลดมากๆ บทความนี้จะแนะนำการปิดโหมด Sleep ของ win 7 การปิดการใช้งานหรือเปลี่ยนการตั้งค่าไปที่ Control Panel >> Power Options แล้วจะเห็นตัวเลือกในการเลือกแผนพลังงานโดยค่าเริ่มต้นจะเป็น “Balanced”

p11 How to disable Auto Sleep mode in Windows 7
จากนั้นให้เราเลือกที่ “Change plan settings”
p21 How to disable Auto Sleep mode in Windows 7

ในการตั้งค่าเพียงแค่เปลี่ยนตรงตัวเลือกเวลาว่าเวลาเท่าไหร่คุณถึงจะต้องการให้คอมพิวเตอร์เข้าสู่ sleep mode
แ่ละคุณสามารถเปลี่ยนเป็น “Never” หากคุณต้องการปิดมัน
และยังเปลี่ยนค่าที่เหมาะสมกับคุณเช่น. 1 ชั่วโมง, 2 ชั่วโมง
p31 How to disable Auto Sleep mode in Windows 7
บันทึกการตั้งค่าของคุณและคุณเสร็จแล้ว. ขณะนี้คอมพิวเตอร์สามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ของคุณแม้ว่าคุณจะไม่อยู่แล้วได้

ทางลัด Network Connection บน Taskbar

มาเรียนรู้วิธีการเพิ่ม shortcut "Network Connections"  ไปยัง Windows 7 Taskbar เพื่อให้ สามารถเข้าถึงได้รวดเร็วมากขึ้นสำหรับท่านที่ใช้งานกันบ่อย ร่วมทั้งตัวผมเองด้วย

ขั้นตอนในการสร้าง
ก่อนอื่นจะต้องสร้างทางลัดใหม่ ให้คลิกขวาบน Desktop และเลือก "New -> Shortcut"



จะเปิดตัวตัวช่วยสร้าง  "Create Shortcut" ตอนนี้ป้อนคำสั้งต่อไปนี้ในกล่อง location box ดังแสดงนในภาพด้านล่าง
explorer shell:::{7007ACC7-3202-11D1-AAD2-00805FC1270E}



หลังจากป้อนตำแหน่งคลิกที่ "Next" ในหน้าต่างนี้ให้พิมพ์ Network Connections ในกล่อง name box จากนั้นให้คลิกที่ปุ่ม"Finish"มันจะสร้างทางลัดใหม่ขึ้นมาบนเดสก์ทอป



ตอนนี้ให้ทำการเปลี่ยนไอคอน คลิกขวาที่ shortcut  ที่สร้างมาใหม่จากขั้นตอนข้างต้นและเลือกแท็บ "Properties" คลิกที่ "Change Icon"



จะเปิดหน้าต่างเลือกรูปไอคอน แต่เราจะใช้รูปมาตรฐานในช่องแรกเป็นช่องแสดงที่อยุ่ของรูปไอคอนให้เราพิมพ์ ncpa.cpl  ในกล่องข้อความลองไปแทนจากนั้นกด Enter จะแสดงรูปไอคอนมาตรฐานของเครื่อข่ายขึ้นมาอันเดียวให้เลือกไอคอนนั้นแล้วทำการคลิกปุ่ม OK เป็นอันเรียบร้อย

ตอนนี้เหลือเพียงนำทางลัดใหม่ที่สร้างไปวางไว้ใน Taskbar  สามารถ ลาก ทางลัด ไปวางยัง Taskbar หรือคลิกขวาบนไอคอนที่สร้าง และเลือกที่ "Pin to Taskbar"



ตอนนี้คุณจะได้ทางลัด "Network Connections" ในแถบ Taskbar แล้ว




ง่ายไหมละลองเอาไปทำกันดูครับ ส่วนไอคอนอื่น ๆ การทำก็คล้าย ๆ กันเพียงแต่ต้องสร้าง ทางลัดของแต่ละโปรแกรมขึ้นมาก่อนครับ

Connect Wireless Win7

ปัจจุบันนี้แนวโน้มผู้ที่หันมาใช้โน๊ตบุ๊คแทนคอมพิวเตอร์พีซี มีจำนวนสูงขึ้นทุกวัน เป็นผลจากเครือข่ายไร้สาย (Wireless Networks) ที่สะดวกในการเชื่อมต่อใช้งานอินเตอร์เน็ต และ ณ. เวลานี้สิ่งที่มาแรงไม่แพ้เครือข่ายไร้สาย (Wireless Networks) เลยก็คือ Windows7 นั่นเอง  เจ้า Windows7 นั้นจะมีการเชื่อมต่อ Wireless ผ่านไปถึง  Server นั้นถือได้ว่าดีเยี่ยมพอสมควร ก่อนที่เราจะทำการเชื่อมต่อเครือข่ายนั้นเราจะต้องรู้วิธีเชื่อมต่อกันก่อน ไปดูกันเลย

1. ด้านขวาของทาสก์บาร์คุณจะเห็นไอคอนเครือข่ายไร้สาย (Wireless Networks) ด้านล่าง ให้คลิกที่ไอคอน



2.จะแสดงหน้าต่างการเชื่อมต่อเครือข่าย  จากรูปด้านล่าง บริเวณช่อง Wireless Network Connection จะแสดงรายการ SSID ที่มีสัญญาณที่คุณสามารถจะเชื่อมต่อได้ หากไม่มีรายการ SSID แสดงให้ลองกดที่ ไอคอน Refresh


3.เลือกเครือข่ายที่ต้องการแล้วคลิกคลิกมัน


 4.ใส่เครื่องหมายถูกที่ Connect automatically ถ้าคุณต้องการให้มีการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ แล้วคลิกที่ Connect


 5.จะแสดงให้ใส่รหัสความปลอดภัย ที่คุณหรือสำนักงาน ได้กำหนดไว้ ให้ใส่รหัสแล้วคลิกที่ปุ่ม OK

ถ้าคุณพิมพ์รหัสผ่านไม่ถูกต้อง Windows 7 จะขอให้คุณพิมพ์รหัสผ่านอีกครั้งจนกว่าจะตรงกับรหัสผ่านของเครือข่ายที่คุณ กำลังเชื่อมต่อ 

6. จากรูปด้านล่างหากรูปไอคอนเครื่อข่ายไร้สาย Connected แสดงว่าเชื่อมต่อไสเร็จ แต่ถ้าเหมือนรูป Not Connected แสดงว่าเชื่อมต่อไม่สำเร็จ


เพียงง่ายๆเท่านี้เราก็สามารถทำการเชื่อมต่อ Wireless เพื่อเล่น Internet ได้แล้ว

วิธีการใช้ Themes ที่ซ่อนใน Windows 7

Windows 7 มีรูปแบบหลากหลายในการแสดงผล และมีความสวยงามอย่างมากทำให้หลายๆ คนติดใจกันนักต่อนักมาแล้ว
Windows 7 ยังคุณสมบัติลักษณะเฉพาะซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานที่และภาษาที่เลือกในขณะที่ ติดตั้ง Windows 7 สามารถหารูปแบบเฉพาะสถานที่ เมนูส่วนตัว เพียงแค่ต้องคลิกขวาที่ตำแหน่งใด ๆ บนเดสก์ทอปคอมพิวเตอร์ ก็จะสามารถรับธีมตามสถานที่ของเราเอง



นอกจากรูปแบบเฉพาะสถานที่ ที่ได้รับโดยปกติ ยังสามารถเข้าถึงลักษณะที่ซ่อนอยู่ใน Windows 7 ซึ่งมีไว้สำหรับพื้นที่ หรือประเทศอื่นๆ ดังนั้นเริ่มต้นรูปแบบที่คุณจะได้รับจะเป็นไปตามภาษาหรือที่ตั้งที่เราเลือก ในตอนติดตั้ง แต่ยังไงก็ตามเรายังสามารถใช้ ลักษณะที่ซ่อนอยู่ใน Windows 7 อย่างง่ายดายในระบบของ นี่คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อนให้ใช้งานมันได้ไปกันเลย :

คลิก Start
ในช่องค้นหาของ เมนูเริ่ม ให้พิมพ์ C:\Windows\Globalization\MCT ตามรูปด้านล่า่ง



จะแสดง Explorer ของ Windows ซึ่งจะแสดงหน้าต่างรูปแบบอื่น ๆ หลายรูปแบบด้วยกัน รูปแบบเหล่านี้จะมีเช่น Great Britain, South Africa, ออสเตรเลียและแคนาดา และ อื่นๆ




จะมีตัวเลือกวอลล์เปเปอร์ที่เลือกเท่านั้นหรือ สามารถติดตั้งธีมทั้งหมดหากต้องการ




คุณจะสามารถติดตั้ง theme ใหม่ทั้งหมดโดยดับเบิลคลิกไฟล์ที่ต้องการ




ชุดรูปแบบใหม่ที่คุณเพิ่มจะแสดงภายใต้ "My Themes ภายในหน้าต่า่ง Personalization”




คุณยังสามารถดาวน์โหลดรูปแบบต่างๆสำหรับ Windows 7 จากเว็บไซต์ต่างๆรวมถึงเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Microsoft
แต่การใช้รูปแบบที่ซ่อนอยู่ใน Windows 7 นอกจากจะไม่ต้องดาวน์โหลดแล้ว (วินโดวปลอมโหลดมาละก็...)  เรายังสามารถลงได้ง่ายๆ
เอาไปโ่ชวชาวบ้านได้สบายใจครับ

แก้ปัญหารันโปรแกรมเก่าใน Windows 7

สำหรับผู้ใช้งาน Windows 7 โดยเฉพาะ

ถ้าคุณยังมีโปรแกรมเดิมๆ ที่เคยใช้งานได้ใน Windows เวอร์ชั่นเก่าๆ และยังจำเป็นต้องใช้งานอยู่ เรียกว่ารักพี่เสียดายน้อง? คุณก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะ Windows 7 ได้เตรียมความสามารถของการใช้งานโปรแกรมในรุ่นก่อน นี้แล้ว เราเรียกว่า "Program Compatibility"

Program Compatibility Windows 7

program compatibility windows 7
  1. คลิกเมนู Control Panel
  2. คลิก Programs
  3. ในหัวข้อ "Programs and Features" ให้คลิกข้อความ "Run programs made for previous versions of Windows"
  4. โปรแกรมจะเปิด หน้าต่างใหม่ และเริ่มตรวจสอบโปรแกรมต่างๆ ภายในเครื่อง
  5. หลังจาก นั้น โปรแกรมจะให้เลือกว่าจะสร้าง Shortcut เพื่อใช้สำหรับการสั่งรันโปรแกรมนั้นๆ
  6. ทำตามขั้นตอนต่างๆ ที่หน้าจอจนเสร็จสิ้น
  7. ทดสอบใช้งานดู

รายชื่อ Anti - Virus เข้ากันได้กับ Windows 7

คำแนะนำ
ถ้าต้องการบางสิ่งบางอย่างที่ทำงานได้ดีและฟรี ให้เลือกใช้งาน Microsoft Security Essentials - ที่จะไม่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ่ช้าลง
Windows AntiVirus Detection
เมื่อติดตั้ง Windows 7จะได้รับข้อความป๊อปอัพ บอกคุณว่าจำเป็นต้องค้นหาโปรแกรมป้องกันไวรัสออนไลน์ ...
 Windows 7 Find Antivirus Program Online Balloon
เมื่อคุณได้ติดตั้งโปรแกรมที่เข้ากันได้กับ ระบบ ข้อความจะหายไปและจะแสดงโปรแกรมที่เราได้ติดตั้งไว้ ที่ Action Center
Windows 7 Action Center
Windows Update 7 จะทำการแจ้งให้ทราบเมื่อแิิอนตี้ไวรัสที่ได้ลงหมดอายุหรือไม่ได้อัพเดท
Windows 7 Update Avira AntiVir
ตอน นี้จะแนะนำ แพคเกจติดตั้งและได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องโดย Windows 7 แต่ผมก็ยังไม่ได้ทดสอบทุกตัวนะครับลองอ่านแล้วเอาไปใช้กันดู เผื่อเป็นประโยชน์กับคนที่ยังไม่มี
AVG Anti - Virus Free Edition
AVG ฟรีซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่นิยม มากที่สุด จะทำงานอย่างสมบูรณ์แบบใน Windows 7
จะสังเกตเห็นว่ามันยังมีการป้องกันป้องกันสปายแวร์ด้วย
Windows 7 AVG Action Center Message 
Avira AntiVir Personal Edition
Avira เป็นที่นิยมโปรแกรมป้องกันไวรัสฟรีแวร์ที่น่าสนใจอีกตัว ซอฟต์แวร์นี้ทำงานได้โดยไม่มีปัญหาใด
Windows 7 Avira Action Center Message 
Norton AntiVirus 2009
แทบจะไม่ต้องแนะนำ, Norton AntiVirus 2009 เพราะว่ามันอยู่ในรายชื่อของซอฟต์แวร์ที่ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเข้ากันได้กับ Windows 7
Windows 7 Norton Action Center Message
Avast! AntiVirus Home
จะสังเกตเห็นว่าแพกเกจนี้จะมีการป้องกันสปายแวร์เช่นกัน
Windows 7 Avast Action Center Message 
Kapersky Anti - 2009 Virus
แพคเกจซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสนี้ยังมีในรายชื่ออย่างเป็นทางการของซอฟแวร์ที่เข้ากันได้กับ Microsoft Windows 7
image

เปิด / ปิด Quick Launch ใน Windows 7

Windows 7 มีคุณสมบัติใหม่ ๆ และบางส่วน ได้ถูกลบออกหรือปิดการใช้งานใน Windows 7 คุณลักษณะดังกล่าวอันหนึ่งคือ Quick Launch ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นการใช้งานใน Windows 7 การเปิดใช้งาน Quick Launch  จะทำให้เราสามารถเปิดโปรแกรมได้อย่างรวดเร็วจากทางลัดบน taskbar ได้ด้วยคลิกเดียว
เนื่องจากผู้ใช้ Windows หลายคนได้ใช้แถบ taskbar จนชิน แต่ว่าสำหรับบางท่านอาจจะน่ารำคาญ ใน 7 จึงได้ทำการปิดไว้ ต่อไปนี้คือคำแนะนำ วิธีเปิดใช้งาน Quick Launch  ใน Windows 7.

วิธีการ เปิด / ปิด การใช้งาน Quick Launch ใน Windows 7

1 คลิกที่ Start และพิมพ์ gpedit.mst ที่ run 
2 ไปที่ User Configuration, Administrative Templates, และ Start Menu and Taskbar ในหน้าต่างด้านซ้าย
Group Policy Editor for QuickLaunch on Taskbar
3 หาหัวข้อ Show QuickLaunch on Taskbar ในหน้าต่างด้านขวา
4 คลิกเ Enable เลือก apply และกด ok.
Enable Quick Launch Toolbar
5 ตอนนี้คลิกขวาที่ Taskbar select Toolbar->New toolbar
6 จากนั้นไปที่ C:\Users\(user name)\AppData\Roaming\Microsoft\Internet Explorer
7 จากนั้นแลือก ที่แฟ้ม Quick Launch ซึ่งได้เพิ่มเข้ามาจากขั้นตอนที่เราได้เิปิดใช้งานเป็นอันว่าทำมาถูกทางแล้่ว
Add Quick Launch to Taskbar
8 ตอนนี้คุณควรเห็นแถบเครื่องมือ Quick Launch Toolbar ที่ Taskbar
Quick Launch Toobar Enabled

วิธีการเพิ่มไอคอนทางลัดบน QuickLauch บาร์ใน Windows 7

คลิกที่ทางลัดบนเดสก์ทอปและลากแถบ QuickLaunch ออกไปวางที่ด้านซ้ายของ Taskbar
Add Shortcut To Quick Launch ToolBar
QuickLaunch  ของท่านก็จะใช้งานได้แล้วครับเหมือนใน Vista และ Windows XP ที่คุ้นเคยของเราแล้ว แจ่ม

ภาพหน้าจอของแถบงานกับ Quick Launch Bar

Final Quick Launch Toolbar at Taskbar in Windows 7